กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันจับกุม นายจุฬาธิปกฯ (สงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี สัญชาติไทย เพื่อดำเนินคดีในข้อหา “ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม , โดยทุจริตหรือโดยการหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อผู้อื่น เป็นการกระทำต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง” ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1692/2566 ลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2566
รวบแก๊งอ้างเป็นเสธ. หลอกลงทุนในมูลนิธิชัยพัฒนาโครงการพันล้าน
รวบ "พันเอกเก๊" ตุ๋นยืมเงิน อ้างรู้จักระดับรัฐมนตรี
รวบโชเฟอร์แท็กซี่แสบ เอามือถือผู้โดยสารที่ลืมไว้ โอนเงินเข้าบัญชีตัวเองกว่า 8 แสน
สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายจำนวนหลายรายถูกหลอกลวงโดยคนร้ายซึ่งปกปิดตัวตน แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากสำนักพระราชวัง ใช้ไลน์ชื่อ "ฬ.จุฬา", "สำนักพระราชวัง", "wannachai apaiwongse" , "ศ.สถิตย์" , "กรมกิจการพิเศษ 904" และ "Chakrabongse 1904" หลอกลวงผู้เสียหายที่เป็นผู้ประกอบการร้านอาหาร และร้านค้า
นอกจากนี้ยังมีการอ้างว่าจะพา VVIP ไปใช้บริการที่ร้าน แล้วเรียกเก็บค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าฉายพระรูป , ค่าเข็มที่ระลึก ฯลฯ เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินให้คนร้ายจำนวนหลายราย
จากการตรวจสอบช่วงระหว่างวันที่ 23 มกราคม 2564 – 4 กรกฎาคม 2566 พบผู้เสียหายกว่า 15 ราย และมีผู้เสียหายที่หลงเชื่อจำนวน 9 ราย รวมมูลค่าความเสียหายเป็นเงิน 908,949.01 บาท
เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้ดำเนินการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน รวมถึงนำข้อมูลแผนประทุษกรรมคดีก่อนหน้าที่มีลักษณะคล้ายกันมาทำการวิเคราะห์จนสามารถระบุได้ว่าตัวคนร้ายผู้กระทำความผิดดังกล่าว คือ นายจุฬาธิปกฯ
จากการสืบสวนพบว่า นายจุฬาธิปกฯ ได้หลบหนีไปประเทศพม่า จึงได้ดำเนินการประสานงานเพื่อสืบสวนติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี ต่อมาได้รับการประสานจากทางประเทศเมียนมาร์ ว่าตำรวจได้พบตัว นายจุฬาธิปกฯ ผู้ต้องหาของตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1692/2566 ลงวันที่ 31 พ.ค. 2566 และจะได้ทำการส่งตัว กลับมายังประเทศไทยเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
กระทั่งวันที่ 12 ต.คคำพูดจาก เล่นสล็อตเว็บตรงที่ดีที่สุด. 2566 เวลาประมาณ 09.25 น. ชุดจับกุมได้รับการประสานว่านายจุฬาธิปกฯ จะเดินทางจากประเทศเมียนมาร์มายังประเทศไทย จึงได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตม.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดไปตรวจสอบ จนกระทั่งเวลาประมาณ 13.30 น. พบบุคคลต้องสงสัยลักษณะรูปพรรณสัณฐานตรงตามหมายจับ อยู่บริเวณฝ่ายพิธีการเข้าเมือง ชั้น 1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ต.หนองปรือ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
ชุดจับกุมจึงได้แสดงตัว พร้อมแสดงหมายจับให้ผู้ต้องหาดูและให้อ่านเองจนเป็นที่พอใจ จากการสอบถามผู้ถูกจับยอมรับว่าตนเองเป็นบุคคลคนเดียวกันตามหมายจับจริงจึงได้ทำการจับกุมแล้วนำตัวดำเนินคดีตามกฎหมาย
โดยสามารถจับกุมได้พร้อมของกลาง 5 รายการ คือ โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ Samsung note 20 ultra 5G จำนวน 1 เครื่องโทรศัพท์มือถือยี่ห้อ Oppo จำนวน 1 เครื่องนาฬิกายี่ห้อ Samsung galaxy watch 3 จำนวน 1 เครื่องกระเป๋าสตางค์ ลาย Supreme สีแดง จำนวน 1 ใบ และบัตรบริการเงินด่วน ธนาคารกสิกรไทย จำนวน 1 ใบ
จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ต้องหายังมีหมายจับในคดีอื่นอีกจำนวน 3 หมายจับ คือ1. หมายจับศาลจังหวัดเชียงราย ที่ 337/2565 ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน "ร่วมกันฉ้อโกง โดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น,ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยการหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์หรือ ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อผู้อื่น เป็นการกระทำต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง" ท้องที่ สภ.เมืองเชียงราย
2. หมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ ที่ 846/2564 ลงวันที่ 22 ธันวาคม 2564 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน "นำเข้าสู่ระบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น“ ท้องที่ สภ.แม่ปิง จ.เชียงใหม่
3. หมายจับศาลอาญา ที่ 2952/2566 ลงวันที่ 8 กันยายน 2566 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน "ร่วมกันฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น และโดยโดยทุจริต หรือหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง”
ทั้งนี้ตำรวจสอบสวนกลาง ขอเตือนพี่น้องประชาชนขอให้ระมัดวัง อย่าหลงเชื่อผู้ที่แอบอ้างเป็นสำนักพระราชวัง หรือหน่วยงานรัฐอื่นๆ ซึ่งจะมีการหลอกให้โอนเงินค่าดำเนินการ ค่าอุปกรณ์ต่างๆ โดยอ้างว่าเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐ จึงขอให้ประชาชนตรวจสอบไปยังหมายเลขโทรศัพท์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงก่อนจะทำธุรกรรมทางการเงิน หรือดำเนินการใดๆก่อนทุกครั้ง อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด